8 ก.ย. 2555

หลวงพ่อพระใหญ่ บ้านท่าไคร้

·   0

หลวงพ่อพระใหญ่ วัดโพธาราม
หลวงพ่อพระใหญ่วัดโพธาราม บ้านท่าไคร้ หมู่ที่ 5 ต.บึงกาฬ อ.บึงกาฬ จ.หนองคายหลวงพ่อพระใหญ่เป็นพระพุทธรูปรางมารวิชัย โบกฉาบด้วยปูนองค์หลวงพ่อมีขนาดดังนี้
- หน้าตักกว้าง 2 เมตร
- จากฐานถึงยอดพระเกศสูง 2.10 เมตร
- จากพระฌานุ (เข่า) ถึงพระศอ (คอ) สูง 0.90 เมตร
พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนหน้าตัก พระหัตถ์ขวาคว่ำวางทับพระฌานุ นิ้วพระหัตถ์ทั้ง 5 เหยียดลงอย่างมีระเบียบเหมือนพระพุทธรูปทั่วๆ ไปประดิษฐานบนแท่น 4 เหลี่ยม ซึ่งได้บูรณะขึ้นใหม่ในปี 2537 นี้
ตามตำนานและคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่หลายรุ่น หลายสมัยเล่าสืบต่อกันมาประมาณสองพันกว่าปีมาแล้ว จนถึงยุคสมัยหลังๆ ซึ่งแต่ก่อนคนเหล่านี้ส่วนมากได้อพยพครอบครัวมาจากเมืองยศ (บริเวณจังหวัดยโสธรในปัจจุบัน) มาตั้งถิ่นฐานริมฝั่งแม่น้ำโขงและร่นขึ้นมาทางเขตชัยบุรี (ปัจจุบันคืออำเภอบึงกาฬ) การตั้งถิ่นฐานอยู่นั้นก็เหมือนกันทุกยุคทุกสมัย คือที่ใดไม่เหมาะสมในการดำรงชีวิต ต้องประสบกับภัย และมีการระบาดของโรคร้ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคอหิวา โรคไข้ฝีดาด ถูกรบกวนจากสัตว์ร้ายหรือภูตผีปีศาจต่างๆ ก็พากันหลบหนีภัยย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ เพื่อหาที่เหมาะสมต่อไป ชนกลุ่มนี้ก็เหมือนกันย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ เพื่อหาที่เหมาะสม จนถึงบ้านท่าใคร้ในปัจจุบัน เมื่อเห็นเป็นที่เหมาะสมดีก็ตกลงใจกันตั้งหลักฐานที่จะหากินในบริเวณนี้
จากนั้นต่างก็จับจองพื้นที่หากินแล้วเริ่มขยายอาณาบริเวณไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณที่รกทึบที่สุดเป็นป่าดงดิบ มีไม้นานาพันธุ์ เช่น ไม้ยาง ไม้ตะแบก ไม้สัก ไม้ไผ่ป่า ขี้นอยู่อย่างหนาแน่นและเต็มไปด้วยสัตว์ป่าหลายชนิด ที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าว เนื่องจากเป็นป่ารกทึบมากชาวบ้านที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่รอบๆ จึงได้ร่วมกันในการถากถางเพื่อจะได้มีพื้นที่มากขึ้น หลังจากที่ได้ทำการถากถางอยู่เป็นเวลาหลายวันก็พบพุ่มไม้ที่สูงและหนากว่าที่อื่นๆ เมื่อถางป่าดังกล่าวออกก็พบพระพุทธรูปเดิมที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์พันรอบองค์อยู่ จึงได้นำเถาวัลย์ออก แล้วปัดกวาดบริเวณรอบๆ ก็พบว่าพระเกตุมาลาของหลวงพ่อหักเพราะถูกช้างป่ากระชากเถาวัลย์ลงมาเพื่อหากินตามธรรมชาติของสัตว์ป่า และเห็นเป็นรูปร่างของสถานที่บำเพ็ญบุญ หรือสถานที่ประกอบกิจกรรมทางพุทธศาสนา อีกทั้งยังพบซากเครื่องปั้นดินเผา โอ่งโบราณ รวมทั้งเครื่องใช้อีกหลายอย่าง
องค์พระพุทธรูปนั้นตั้งแต่ได้พบมาถึงปัจจุบัน ไม่เคยเคลื่อนย้ายหรือ ต่อเติมแต่อย่างใด เพียงแต่ต่อพระเกตุที่หักให้คงสภาพเดิม มีเพียงแท่นที่ประดิษฐานเท่านั้นที่สร้างโอบแท่นเดิม เพื่อให้มีความมั่นคงขึ้นยิ่งกว่าเดิม และมีผู้ที่มาขอพรจากหลวงพ่อเมื่อได้สมความปรารถนาแล้วก็ได้นำสีทองมาทาสมโภชหลวงพ่อ จึงทำให้องค์หลวงพ่อเหลืองอร่ามเป็นสีทองทั้งองค์

ปฏิหารของหลวงพ่อ

  1. เมื่อครั้งสงครามอินโดจีน ปรากฏว่ามีแสงสว่างจ้ากว่าแสงตะเกียงเจ้าพายุที่ลอยจากโบสถ์วัดบ้านท่าไคร้ ข้ามไปยังปากบึง ฝั่งลาว แล้วข้ามกลับมาที่เดิมแล้วดับลงที่โบสถ์
  2. เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2490 ได้รื้อซากโบสถ์เก่าเพื่อสร้างใหม่ ช่างและคนงานล้วนเป็นคนญวนพากันขุดเพื่อลงรากเสาเข็ม พอขุดลงไปพบพระพุทธรูปองค์เล็กจำนวนมากหลายพันองค์ พวกคนงานเหล่านั้นเห็นว่าเป็นของเก่าก็พากันเอาไป โดยมิได้บอกใครหลังจากนำเอาพระพุทธรูปเหล่านั้นไปยังไม่ทันข้ามคืนเกิดเป็นบ้าบ้างเกิดท้องร่วงอย่างรุนแรงบ้าง เป็นไข้อย่างฉับพลันบ้าง จนต้องนำเอาพระพุทธรูปกลับคืนมาไว้ที่เดิมในตอนกลางคืน และอาการที่ป่วยต่าง ๆ หายไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
  3. เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2496 – 2497 เด็กหญิงชาวบ้านท่าไคร้ไปอยู่กับญาติที่ชลบุรีได้ขี่จักรยานไปซื้อของ ถูกรถสิบล้อชนจนจักรยานหักป่นปี้ ส่วนเด็กหญิงคนนั้นตกกระเด็นไปตกฟากถนนอีกฝั่งหนึ่งลุกขึ้นได้ปัดฝุ่นแล้วก็เดินได้สบายไม่มีบาดเจ็บแม้แต่น้อยรถ แต่สิบล้อคันที่ชนกลับมีไฟลุกใหม้ท่วมเสียหายทั้งคันที่หนูน้อยคนนี้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ เพราะมีรูปถ่ายของหลวงพ่ออัดกรอบพลาสสติกห้อยคอ
  4. เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2511 เด็กสาวบ้านท่าไคร้กับน้องสาวไปธุระที่บ้านดงหมากยางขากลับจวนค่ำถูกคนร้ายจี้เอาสร้อยคอมทองคำหนัก 3 บาทไป จึงต้องครึ่งวิ่งครึ่งเดินกลับบ้านบอกเล่าเหตุการให้พ่อ – แม่ฟังแล้วรีบไปบอกหลวงพ่อขอให้ติดตามเอาสร้อยกลับคืนมา เวลาล่วงมา 3 วัน คนในบ้านหลังนั้นแทบจะไม่เชื่อสายตา เพราะสร้อยคอเส้นที่ถูกจี้เอาไปทิ้งอยู่ระเบียงหน้าบ้าน โดยสร้อยอยู่ในสภาพเดิมทุกประการ
  5. เมื่อประมาณปีพ.ศ. 2512 – 2513 ก่อนสร้างโบสถ์หลังปัจจุบัน ก็มีแสงสว่างออกมาจากต้นโพธิ์ข้างโบสถ์แล้วข้ามไปบ้านปากบึงประเทศลาวอีก แสงสว่างเช่นนี้จะปรากฏในวันพระ 2 – 3 เดือนต่อครั้ง และมักจะมีผู้พบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้ง
  6. ร.อคำม้าว จันทวงศ์ เป็นคนบ้านปากบึงฝั่งประเทศลาว ซึ่งอยู่ตรงข้ามหมู่บ้านท่าไคร้ ก่อนที่จะไปราชการสงครามก็ได้มาบนหลวงพ่อไว้ทุกครั้ง ซึ่ง ร.อคำม้าวได้เกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบินถึง 3 ครั้ง แต่ก็รอดชีวิตมาทุกครั้ง เขาจึงศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อและได้บริจาคเงินจำนวน 2 หมื่นบาทสร้างโบสถ์หลังปัจจุบัน
  7. เมื่อปีพ.ศ. 2528 ผู้เขียนประสบด้วยตนเอง ชาวบ้านประชุมตกลงกันเอาช่างมาถ่ายรูปหลวงพ่อเพื่ออัดกรอบพลาสติกเพื่อให้ผู้ศรัทธาบูชาไปสักการะประจำตัว ก่อนช่างถ่ายภาพจะได้ตกแต่งขันธ์ข้าวดอกไม้เพื่อสักการะและขอขมาแล้วจึงลงมือ ช่างภาพถ่ายรูปหลวงพ่อประมาณ 10 กว่ารูป เมื่อนำเอาไปล้างแล้วไม่มีรูปหลวงพ่อติดเลยแม้แต่น้อย ฟิล์มมืดดำไปชัตเตอร์ไม่ลั่นกดก็ไม่ลงเหมือนมีอะไรมาขัดไว้
  8. มีผู้ถือเหรียญหลวงพ่อพระใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ต้องประสบอุบัติเหตุ แต่ก็ปลอดภัยทุกคน

สิ่งปลูกสร้างภายในวัด

วัดโพธารามบ้านท่าไคร้ เป็นวันที่เก่าแก่ที่สุดในเขตอำเภอบึงกาฬและมีงานเทศกาลประจำทุกปี ซึ่งประชาชนต่างก็ให้ความสนใจเคารพนับถือเป็นอย่างมาก และวัดโพธารามบ้านท่าไคร้ยังเป็นวัดราษฎร์ซึ่งเป็นวัดประเภทที่ 1 คือ มี น.ส.3 มีทะเบียนวัดถูกต้องตามระเบียบของทางคณะสงฆ์ แต่ก็พึ่งจะไดรับการพัฒนามาเมื่อประมาณ 20 ปีกว่า มีสิ่งปลูกสร้างตามศรัทธา คือ
  1. อุโบสถ หลังปัจจุบัน ที่หลวงพ่อใหญ่ประดิษฐานอยู่ สร้างเมื่อปีพ.ศ 2513 กว้าง 8 เมตรยาว 15 เมตร ก่อด้วยอิฐถือปูน เงินค่าก่อสร้างประมาณ 150,000 บาท สร้าง 5 ปี จึงแล้วเสร็จ
  2. ศาลาการเปรียญ 1 หลัง 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ กว้าง 15 เมตร ยาว 18 เมตร สิ้นเงินค่าก่อสร้าง ประมาณ 350,000 บาท
  3. กุฏิ 2 ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ 3 ห้องพร้อมห้องน้ำ เป็นเงินค่าก่อสร้างประมาณ 200,000 บ
  4. กุฎิชั้นเดียวพื้นสูง 1 เมตร 1 ห้อง สินเงินค่าก่อสร้างประมาณ 800,000 บาท
  5. โรงครัวหนึ่งหลังชั้นเดียว 2 ห้อง พื้นคอนกรีต สิ้นเงินค่าก่อสร้างประมา 30,000 บาท
  6. แท้งน้ำฝนแบบ ฝ.33 ของกรมอนามัย 6 แท้งค์
  7. บ่อน้ำตื้น 1 บ่อ ลงท่อคอนกรีตเสริมเหล็กประมาณ 6 เมตร
  8. กำแพงวัด 3 ด้าน ก่อด้วยอิฐบล็อกสิ้นเงินค่าก่อสร้าประมาณ 200,000บาท

เนื้อที่ของวัดทั้งหมดประมาณ 5 ไร่ เศษ เป็นพื้นที่ราบ 3 ส่วน อีกส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ลุ่ม ทางวัดมีโครงการถมที่ให้เสมอกันงานประจำปีของวัด เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือบุญมหาชาติจะจัดให้มีใน 4 เดือนข้างขึ้นของทุกปี นอกจากนี้แล้วในวันพระ 8 ค่ำ และ 14 – 15 ค่ำ ชาวบ้านท่าไคร้จะพร้อมกันลงรวมกันที่วัด เพื่อไหว้พระฟังเทศน์ เวียนเทียน ซึ่งถือเป็นประเพณีที่ดีงามอีกอันหนึ่ง

งานประจำปีที่ทำเพื่อสักการะแด่หลวงพ่อพระใหญ่

ประชาชนในสมัยก่อนก็ได้มาขอพรจากหลวงพ่อ ให้ช่วยเมตตา ปกปักรักษา และป้องกันอันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้หมดไป และก็ได้สมดังความปรารถนาตลอดมาจนถึงปัจจุบันดังนั้นจึงจัดให้มีการน้อมถึงพระคุณที่หลวงพ่อได้เมตตากรุณาตลอดมา และจัดงานสมโภชปีละ 2 ครั้ง ซึ่งปฎิบัติสืบต่อกันมา ทุกปีจนถึงปัจจุบันคือ

ครั้งที่ 1 วันเพ็ญเดือน 3 จะทำบุญข้าวจี่ พร้อมกับปราสาทผึ้ง 2 หลัง เป็นการสักการะแด่หลวงพ่อ
ครั้งที่ 2 ทำในเทศกาลวันสงกรานต์ ของทุกปีมีการสรงน้ำหลวงพ่อพระใหญ่งานนี้ถือเป็นงานใหญ่ประจำปี มีพุทธบริษัทมาร่วมงานเป็นจำนวนมากทั่วทุกสารทิศพิธีสรงน้ำพระใหญ่มักจะจัดหลังวันมหาสงกรานต์หนึ่งสัปดาห์ ซึ่งจะจัดงานตรงกับวันเสาร์ อาทิตย์

Subscribe to this Blog via Email :